บทความวิชาการที่ได้นำเสนอในงานสัมมนาสหวิทยาการวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ครั้งที่ 1/2566 ในวันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2566 ณ ห้องประชุมประชานารถ ชั้น 2 อาคาร 9 วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ กรุงเทพมหานคร
โดย พงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย (อ.พัลลาส)
บทนำ
ปรากฏการณ์ฟ้าสำคัญของปี 2024 คือ การโคจรมาพบกันของดาวเคราะห์นอกสองดวง นั่นคือ ดาวพฤหัส และดาวยูเรนัส ซึ่งจะโคจรพบกับทุก ๆ 14 ปีเมื่อสังเกตท้องฟ้าจากพื้นโลก ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของระบบสุริยะ โหราศาสตร์จึงกำหนดให้ดาวพฤหัสเป็นดาวที่มีอิทธิพลสูง เป็นดาวประธานฝ่ายศุภเคราะห์ ให้ความหมายเกี่ยวกับความสำเร็จและการขยายตัว ขณะที่ดาวยูเรนัส เป็นดาวเคราะห์นอกที่ให้อิทธิพลในเชิงนวัตกรรม การค้นพบใหม่ ๆ รวมไปถึงการทำลายโครงสร้างเก่าเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ เมื่อดาวสองดวงนี้มาเจอกันจึงเป็นเรื่องที่นักโหราศาสตร์ให้ความสนใจอย่างยิ่ง บทความนี้ได้นำเสนอข้อมูลของดาวเคราะห์ทั้งสองโดยละเอียด ค้นคว้าเหตุการณ์ในอดีตเมื่อดาวทั้งสองมาเจอกัน และได้นำเสนอผลการวิเคราะห์เรื่องราวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเจอกันของดาวทั้งสองในปี 2024 ที่กำลังจะมาถึง
ดาวพฤหัสในโหราศาสตร์
ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 5 และเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุด ของระบบสุริยะ มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 139,822 กิโลเมตร หรือราว 11 เท่าของโลก มีมวลประมาณ 318 เท่าของโลก และมีปริมาตรราว 1,321 เท่าของโลก ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่หมุนรอบตัวเองเร็วที่สุด จึงมีรูปร่างเป็นทรงกลมแป้น เห็นได้ชัดเมื่อดูด้วยกล้องโทรทรรศน์ เอกลักษณ์ของดาวพฤหัสที่เด่นชัด คือจุดแดงใหญ่ (Great Red Spot) ซึ่งเป็นพายุหมุนขนาดมหึมา มีความกว้างมากกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก ราว 1.3 เท่า
เมื่อมองจากพื้นโลก ดาวพฤหัสเป็นดาวที่มีความสว่างเป็นอันดับ 3 บนท้องฟ้ายามค่ำคืน รองลงจาก ดวงจันทร์ และดาวศุกร์ มนุษย์จึงสังเกตเห็นดาวพฤหัสตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และมีหลักฐานบันทึกเกี่ยวกับดาวพฤหัสโดยนักดาราศาสตร์ชาวบาบิโลเนีย ตั้งแต่ยุค 700-800 ปีก่อนคริสตกาล
รูปที่ 1 ดาวพฤหัส กับดวงจันทร์ ยูโรปา
ดาวพฤหัสโคจรรอบระบบสุริยะใช้เวลารอบละ 11.86 ปี หรือประมาณ 12 ปี โหราศาสตร์จีนนำวงรอบ 12 ปีของดาวพฤหัสมาใช้กำหนดวงรอบปีนักษัตร 12 ปี และเป็นที่มาของดาวไท้สุ่ย (太岁) ต่อมากลายเป็น เทพไท้สุ่ย ที่คนไทยนิยมเรียกว่า ไท้ส่วยเอี๊ยะ ตามภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นเทพคุ้มครองดวงชะตาในแต่ละปีนักษัตร
ค.ศ. 1610 กาลิเลโอได้ส่องกล้องโทรทรรศน์สังเกตดาวพฤหัส แล้วพบว่า มีดาวบริวาร 4 ดวง ต่อมา นักดาราศาสตร์ได้ตั้งชื่อดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัส 4 ดวงนี้ว่า ไอโอ ยูโรปา แกนีมีด และ คัลลิสโต ภายหลังยังพบดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสอีกเป็นจำนวนมาก ณ ปี 2023 นี้ พบดวงจันทร์ของดาวพฤหัสแล้ว 95 ดวง
ชื่อของดาวพฤหัสในภาษาอังกฤษ เรียกว่า จูปิเตอร์ (Jupiter) ซึ่งเป็นเทพประธานของคณะเทพโอลิมปัส ซึ่งก็คือ มหาเทพซุส (Zeus) ของกรีก เป็นมหาเทพผู้ปกครองเหล่าทวยเทพทั้งปวง มหาเทพซุสเป็นโอรสของเทพโครนัส ประธานแห่งคณะเทพไททัน ผู้ซึ่งเคยถูกคำสาปว่า เทพโครนัสจะถูกลูก ๆ ของตนแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ไป ทำให้เทพโครนัสจับลูก ๆ ของตนเมื่อคลอดออกมากลืนกินลงท้องทั้งหมด แต่พอถึงลูกคนที่ 6 พระนางรีอา ชายาของโครนัส ก็ซ่อนซุสเอาไว้ หลอกให้โครนัสกลินกินห่อผ้าที่ข้างในเป็นก้อนหินแทน จากนั้นพระนางรีอาก็ส่งซุสให้เหล่านางอัปสรดูแลในถ้ำบนยอดเขาไอดา เมื่อเติบโต ซุสได้กลับมาเอาชนะโครนัส บิดาของตนเองได้ และบังคับให้โครนัสสำรอกเอาลูก ๆ ที่เคยกินออกมาทั้ง 5 องค์ ได้แก่ โปไซดอน, เฮดีส, เฮสเทีย, ดีมิเตอร์ และเฮรา จากนั้น ซุสก็ตั้งตนเป็นราชาแห่งทวยเทพทั้งปวง ครองบัลลังก์บนยอดเขาโอลิมปัส อาวุธคู่ใจของซุสคือสายฟ้า ที่มีอานุภาพร้ายแรงยิ่ง ตำนานของมหาเทพซุสมีมากมายหลายเรื่อง มักเป็นเรื่องความเจ้าชู้ ทำให้เป็นบิดาของเหล่าเทพมากมาย ซึ่งให้ความหมายของความยิ่งใหญ่ การขยายอาณาจักร ไปจนถึงความโลภ ความเกินพอดีด้วย
ดาวพฤหัสในทางโหราศาสตร์ ถือเป็นดาวศุภเคราะห์ใหญ่ (The Great Benefic) เป็นดาวเกษตรประจำราศีธนู มีคุณสมบัติของธาตุไฟ ให้ความหมายเกี่ยวกับ ความสำเร็จ การขยายตัว โชคลาภโอกาสที่เข้ามา การเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ความมั่งคั่งที่เพิ่มมากขึ้น สถานะทางสังคมที่สูงขึ้น การมองโลกในแง่ดี นอกจากนี้ยังหมายถึง ความรู้ชั้นสูง การเรียนระดับอุดมศึกษา ศาสนา ระบบนิติธรรม การเดินทางไกล ต่างประเทศ อีกด้วย
แม้ว่าความหมายของดาวพฤหัสโดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องดี ๆ แต่พลังงานของดาวพฤหัสที่มากเกินไปทำให้เกิดความโลภมาก ขยายไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จักพอ เกิดความหยิ่งยโส อหังการ เล็งผลเลิศเกินไป จนก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่ได้
โรเบิร์ต แฮนด์ อธิบายว่า ดาวพฤหัสให้พลังงานใน 2 รูปแบบ พลังงานในการขยายตัว และ พลังงานบูรณาการ พลังงานในการขยายตัวเกิดขึ้นตั้งแต่มนุษย์เกิดมาเป็นทารก โลกวัยเด็กมีขอบเขตเพียงในบ้านและครอบครัว พลังงานการขยายตัวของดาวพฤหัสทำให้มนุษย์อยากแผ่ขยายอาณาเขตของตนเองให้กว้างออกไปเรื่อย ๆ สู่โลกภายนอกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งเจอขอบเขตข้อจำกัดที่เป็นพลังงานของดาวเสาร์ ถึงตอนนั้นพลังงานในการบูรณาการของดาวพฤหัสก็เริ่มทำงาน เมื่อเราขยายตัวไปไม่ได้ เราก็บูรณาการรวมตัวเราให้เข้ากับสังคมที่ใหญ่ขึ้น ปรับตัวตามระเบียบของสังคม ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย ปรัชญา หรือศาสนา
เมื่อดาวพฤหัสทำมุมสัมพันธ์กับดาวเคราะห์ดวงอื่น จะให้อิทธิพลเหมือนเครื่องขยายขนาดพลังงานของดาวดวงนั้น ๆ ในกรณีนี้เมื่อดาวพฤหัสมกุมกับดาวยูเรนัส ก็ย่อมขยายพลังงานของดาวยูเรนัสให้เพิ่มมากกว่าปกติ
ดาวยูเรนัสในโหราศาสตร์
ดาวยูเรนัส (Uranus) หรือที่เรียกในโหราศาสตร์ไทยว่า ดาวมฤตยู เป็นดาวที่เพิ่งค้นพบเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน หากเทียบกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ถือว่าค้นพบเมื่อไม่นานนัก ดาวยูเรนัสเป็นดาวที่สังเกตได้ยากด้วยตาเปล่า ทำให้คนโบราณไม่ได้จัดเป็นดาวเคราะห์ จนเมื่อ 13 มีนาคม ค.ศ.1781 เซอร์ วิลเลียม เฮอร์เชล ชาวอังกฤษ ได้สังเกตพบด้วยการส่องผ่านกล้องโทรทรรศน์จากสวนในบ้านของเขาที่เมืองบาธ ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นดาวหาง ต่อมาจึงสรุปว่าคือดาวเคราะห์ แม้ว่าเขาพยายามจะตั้งชื่อดาวเคราะห์ที่เขาค้นพบนี้ว่า จอร์เจียม ไซดัส (Georgium Sidus) เพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ แต่ชื่อนี้ไม่เป็นที่นิยมนอกประเทศอังกฤษ ในที่สุด โยฮันส์ โบเด ได้เสนอชื่อว่า ดาวยูเรนัส เพื่อให้เข้ากับตำนานเทพเจ้าและดวงดาวต่าง ๆ ชื่อนี้นี้จึงเป็นที่ยอมรับจนถึงปัจจุบัน
ดาวยูเรนัส เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 7 ในระบบสุริยะ เป็นดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ มีวงโคจรถัดออกไปจากดาวเสาร์ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ราว 3,000 ล้านกิโลเมตร ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 84 ปี หรือในแง่โหราศาสตร์คือ ใช้เวลาโคจรรอบจักรราศีราว 84 ปี มีทิศทางหมุนรอบตัวเองต่างกันข้ามกับดาวเคราะห์ดวงอื่น คือหมุนด้วยกฎมือซ้าย แกนของดาวเอียงมาก ทำมุมกับระนาบระบบสุริยะถึง 98 องศา ทำให้หมุนรอบตัวเองในลักษณะตะแคงข้าง ลักษณะที่แตกต่างจากดาวดวงอื่นเช่นนี้จึงกลายมาเป็นความหมายทางโหราศาสตร์ว่า ความแปลกประหลาดไปจากคนอื่น การแหกกฎทำลายกรอบเดิม
รูปที่ 2 ดาวยูเรนัส
วงแหวนของดาวยูเรนัส ที่ค้นพบแล้วมี 13 วง มีดวงจันทร์บริวาร 27 ดวง ชื่อดวงจันทร์บริวารของดาวยูเรนัสตั้งตามตัวละครในบทประพันธ์ของเชกสเปียร์ และ อเล็กซานเดอร์ โป๊ป ซึ่งทั้งคู่เป็นกวีชื่อดังชาวอังกฤษ ตามสัญชาติเดียวกับเซอร์วิลเลียม เฮอร์เชล ผู้ค้นพบดาวยูเรนัส
ชื่อดาวยูเรนัส (Uranus) มาจากชื่อเทพแบบโรมัน ส่วนภาษากรีกเรียกว่า อูรานอส (Ouranos) ในตำนานกรีกนั้น เป็นเทพแห่งท้องฟ้าดั้งเดิม เมื่อแรกเริ่มจักรวาล สรรพสิ่งอยู่ในสภาพเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีรูปร่าง มืดมน ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีขอบเขต เรียกว่า เคออส (Chaos) หลังจากนั้นนานนับแสนกัลป์ ก็เกิดแผ่นดินขึ้นจากความเวิ้งว้างนั้น เรียกว่า เกอา (Gaea) เป็นเพศหญิง และก็มีท้องฟ้าเกิดขึ้น เรียกว่า อูรานอส (Ouranos) ต่อมา พระแม่เกอา กับ เทพอูรานอส ก็สมรสกัน ตำนานตอนนี้เป็นการแปลงสภาวะเทพเจ้าที่เป็นธรรมชาติ ไปสู่เทพเจ้าที่มีรูปร่างมีตัวตน
เทพอูรานอส กับ พระแม่เกอา มีลูกเป็นเทพเจ้า 12 องค์ ชาย 6 หญิง 6 ซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตมโหฬารมาก เทพทั้งสิบสองรวมเรียกว่า คณะเทพไททัน (Titan) เทพอูรานอสเกรงกลัวลูก ๆ ของตน จึงจับลูกทั้งหมดโยนทิ้งหุบเหวลึกใต้บาดาลที่มืดสนิท เรียกว่า ทาร์ทารัส (Tartarus) และจองจำเอาไว้ ต่อมาพระแม่เกอา คลอดโอรสออกมาเป็น ยักษ์ไซคลอปส์ตาเดียวอีก 3 ตน คือ บรอนทีส (ฟ้าลั่น) สเทอโรพีส (ฟ้าแลบ) และอาร์จีส (สว่างวาบ) ทั้งสามก็ถูกโยนทิ้งทาร์ทารัสอีก แต่เมื่อทั้งสามลงไปที่นั่นก็ได้ให้แสงสว่างไสว คณะเทพไททันจึงมองเห็นและอยากเป็นอิสระ แต่มีเพียงโครนัสเท่านั้นที่กล้าขึ้นมาต่อสู้กับบิดา พระแม่เกอาจึงปลดปล่อยออกมา ให้อาวุธคือเคียว ไปต่อส้กับอูรานอส และได้รับชัยชนะ ยึดบัลลังก์มาได้ จนขึ้นครองบัลลังก์แห่งเทพทั้งปวง แต่ภายหลังก็ถูก เซอุส บุตรของตนก่อการปฏิวัติยึดอำนาจเช่นเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน หรือการปฏิวัติ จึงกลายมาเป็นความหมายของดาวยูเรนัส
ในทางโหราศาสตร์ ดาวยูเรนัส เป็นดาวเกษตรประจำราศีกุมภ์ มีคุณสมบัติของธาตุลม ถือเป็นดาวบาปเคราะห์ (Malefic) เพราะดาวดวงนี้ให้อิทธิพลการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน สำหรับคนทั่วไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงคือการทำลายความเคยชินเก่า ๆ ที่เขาคิดว่ามันดีอยู่แล้ว สบายอยู่แล้ว พลังงานของดาวยูเรนัสเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน คาดการณ์ไม่ถึง ตั้งตัวไม่ติด และสุดขั้ว ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวาย ก่อนที่จะปรับตัวเข้าสู่สภาพใหม่ เป็นการแหกกฎทำลายกรอบเดิม การปฏิวัติ การกบฏ การสร้างสรรค์
เมื่อพิจารณาตามลำดับของดาวเคราะห์นอกในระบบสุริยะแล้ว ขณะที่ดาวพฤหัสคือพลังงานแห่งการขยายตัว ดาวเสาร์คือขอบเขตข้อจำกัดของการขยายตัว ซึ่งทำให้มีรูปแบบโครงสร้างที่คงตัว แต่พลังงานของดาวยูเรนัส เป็นการทำลายโครงสร้างอันนั้นอย่างฉับพลันและไม่ประนีประนอม ยิ่งพลังงานแห่งการอนุรักษ์ของดาวเสาร์พยายามจะคงโครงสร้างดั้งเดิมไว้มากเท่าไร พลังงานของดาวยูเรนัสจะทำลายล้างรุนแรงขึ้นเท่านั้น และหากพลังงานแห่งการอนุรักษ์ประสบความสำเร็จในการคงไว้ซึ่งโครงสร้างดั้งเดิม พลังงานทำลายล้างของดาวยูเรนัสจะหลบไปใต้ดินและยังคงรอเวลาทำงาน
นักโหราศาสตร์ยังให้ความหมายของดาวยูเรนัสว่าเกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีนวัตกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์, คอมพิวเตอร์, อากาศยาน รวมถึงวิทยาศาสตร์อย่าง ฟิสิกส์ เคมี และคณิตศาสตร์ บรรดาศาสตร์ที่ว่ามานี้ต่างก็นำการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนมายังโลกเราทั้งนั้น
โหราศาสตร์เองก็ถือว่าเป็นความหมายหนึ่งของดาวยูเรนัส นั่นเป็นเพราะว่าโหราศาสตร์ได้รับภูมิปัญญาจากจักรวาล โดยไม่ต้องอาศัยนักบวชหรือตัวแทนของสถาบันปรัชญาศาสนาดั้งเดิมในการนำทาง คำว่า โหราศาสตร์ยูเรเนียน (Uranian Astrology) ก็สะท้อนชัดเจนว่า เป็นโหราศาสตร์ที่มีพลังงานของดาวยูเรนัส นั่นคือ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างดั้งเดิม แต่พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความรู้ภูมิปัญญาที่ลึกซึ้งขึ้น
ปี 1781 ที่เซอร์วิลเลียม เฮอร์เชล ค้นพบดาวยูเรนัสนั้น เป็นปีเดียวกับที่สงครามประกาศอิสรภาพอเมริกาอยู่ในช่วงตัดสิน โดยกองทัพของนายพลจอร์จ วอชิงตัน ได้เอาชนะกองทัพอังกฤษในสมรภูมิยอร์กทาวน์ รัฐเวอร์จิเนีย อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ถือเป็นสงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายของสงครามประกาศอิสรภาพอเมริกา อังกฤษซึ่งเปรียบเสมือนบิดา ได้พ่ายแพ้ต่อการปฏิวัติโดยบุตร อย่างอาณานิคมอเมริกา ด้วยท่วงทำนองเดียวกับ เทพอูรานอส ที่พ่ายแพ้ต่อบุตรอย่างเทพโครนัส
****** จบ ตอน 1 ******
อ่านตอน 2 ได้ที่ https://thestarseer.com/2023/09/19/2024_juconjur_2/